
บ้าน คือ สถานที่ที่สำคัญที่สุดของทุกๆคน เป็นที่ๆคนจะอยู่แล้วต้องมีความสุขที่ได้อยู่ แต่ก็มีเหตุผลบางประการที่จะทำให้เราต้องตีจากสถานที่ที่เราอยู่แล้วมีความสุข ไม่ว่าจะด้วยบ้านคับแคบลง เพราะคนในบ้านมีเยอะขึ้น หรือการมีข้าวของเครื่องใช้ที่เยอะขึ้นจนไม่มีที่เก็บ หรืออาจจะต้องย้ายออกด้วยข้อจำกัดด้านเวลาในการเดินทางหรือระยะทางในการไปทำงาน หรือไปเรียน ที่สักวันหนึ่งอาจจะเกินกว่าจะรับภาระนั้นได้
เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การย้ายบ้านจึงเป็นคำตอบสุดท้าย แล้วบ้านหลังเก่าหลังจากย้ายล่ะ จะทำอย่างไร ถ้าหากทรัพย์สินเรามั่นคงมาก มีเงินทุนหมุนเวียนทุนหมุนเวียนตลอดเวลา เราก็คงอยากจะเก็บบ้านหลังนั้นเอาไว้เป็นความทรงจำที่ดีๆต่อไป แต่ในเมื่อคนเราไม่ได้รวยล้นฟ้ากันทุกคน
การหมุนเงินก้อนจึงเป็นสิ่งจำเป็น แล้วเราจะต้องทำอย่างไร จึงจะนำเงินก้อนนั้นมาหมุนได้ ก็ต้องขายบ้านหลังเก่าทิ้ง แล้วต้องทำอย่างไรบ้าง ต้องขายอย่างไร และขายที่ไหนจึงจะดี ไปติดตามกันเลยดีกว่าครับ

ทำไมต้องขายบ้าน ?
ถ้าจะถามถึงเหตุผลหลักๆว่าทำไมจึงต้องขายบ้าน ประเด็นหลักก็คงจะต้องอยู่ที่เงินทุนหมุนเวียน เพราะนี่คือยุคที่เงินคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เราใช้เงินซื้อทุกอย่าง และเราจะทำอะไรไม่ได้เลยหากไม่มีเงิน และเรื่องบ้านนั้นคือเรื่องใหญ่ เพราะเราจำเป็นต้องขายบ้านหลังเก่าทิ้งไป เพื่อนำเงินทุนก้อนนั้นมาใช้ในการหมุนเวียน ผ่อนบ้าน และใช้จ่ายในบ้านหลังใหม่ของคุณ เว้นแต่ว่าคุณจะรวย ทรัพย์สินมั่นคงล้นฟ้า สามารถเก็บบ้านหลังเก่าไว้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางใจต่อไปได้ โดยที่ไม่ต้องนำไปขายเพื่อนำเงินมาหมุน แต่เมื่อคุณเป็นเพียงคนธรรมดา ที่ไม่ได้รวยล้นฟ้า คุณก็จำเป็นที่จะต้องมีเงินทุนสำหรับหมุนเวียน และปัจจัยเรื่องเงิน ก็คือคำตอบที่ดีที่สุดว่าทำไมจึงต้องขายบ้าน

สาเหตุหลักที่ต้องขาย ?
สาเหตุที่ต้องขายบ้านนั้นมีมากมายหลายประการ แต่สาเหตุยอดฮิตนั้นก็คงไม่พ้นการที่บ้านมีคนเยอะขึ้น หรือข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเยอะขึ้นจนไม่มีที่เก็บ หรืออีกหนึ่งสาเหตุยอดฮิตคือ ข้อจำกัดในการเดินทานทางไปเรียน หรือทำงาน ที่ต้องรับภาระืั้งทางด้านเวลา และระยะทาง บางคนที่ไม่อยากจะรับภาระนี้ต่อไป ก็แก้ปัญหาด้วยการย้ายบ้าน และอย่างที่บอกไปในหัวข้อที่แล้วว่า การย้ายบ้านนั้นจำเป็นจะต้องมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องมีการขายบ้านกันเกิดขึ้น แต่จริงๆแล้วสาเหตุในการย้ายบ้านนั้นมีอีกเยอะมาก แต่เราจะขอยกตัวอย่างแค่สาเหตุที่หลักๆมที่พบเจอได้บ่อยไว้เพียงเท่านี้

ขายบ้านแบบไหนดีที่สุด ?
การขายยังไงก็คือการขาย ไม่ว่าจะขายอะไรมันก็คือการขาย ไม่ว่าจะบ้านหรือรถ ยังไงก็ต้องให้คนเห็นสิ่งที่เราต้องการนำเสนอให้มากที่สุดอยู่แล้ว การขายมีอยู่หลายแบบ ตั้งแต่การตั้งประกาศขายหน้าบ้าน ไปจนถึงประกาศขายออนไลน์ การขายในแต่ละแบบย่อมแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่รูปแบบการขาย ไปจนถึงจำนวนคนที่เข้าถึงประกาศการขาย และการจะขายบ้านให้ได้นั้น สิ่งที่จำเป็นที่สุด คือจำนวนของการเข้าถึงของคนดู คนเข้าถึงยิ่งเยอะโอกาสในการขายได้ก็จะยิ่งเยอะตาม แล้วระหว่างการแปะประกาศขายหน้าบ้านที่มีแค่คนเห็นแค่เดินผ่านไปผ่านมา หรือการลงประกาศขายออนไลน์ที่ทุกวันนี้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แล้วคุณจะคิดว่าแบบไหนดีกว่ากันล่ะครับ ถ้าคำตอบของคุณคือการขายออนไลน์แล้วล่ะก็ อ่านข้อต่อไปได้เลยครับ

ขายบ้านออนไลน์ที่ไหนดี ?
ในปัจจุบันมีเว็บประกาศขายบ้านที่เป็นทางเลือกมากมาย แม้แต่การขายเองในหน้า Facebook ของตัวเองก็ทำได้ แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไรล่ะว่าคุณจะมีคอนเน็คชั่นที่มากพอที่จะขายบ้านของคุณได้ ซึ่งถ้าหากคุณไม่มั่นใจเรื่องคอนเน็คชั่นของผู้ซื้อขายแล้วล่ะก็ ไทยโฮมทาวน์จัดให้ได้ครับ เพราะว่า เว็บไซต์ทยโฮมทาวน์ คือ เว็บประกาศขายบ้านที่ดีที่สุดในประเทศไทย ด้วยระบบที่ทันสมัย ระบบเครื่องมือต่างๆใช้งานได้ง่าย มีระบบการจัดวางเนื้อหาและรายละเอียดที่ดี ประกาศขายบ้านของเราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนต้องการบ้านได้เร็ว ประกาศขายของเรามีคุณภาพมากกว่าเว็บบอร์ดหรือกระดานข่าวทั่วๆไป แถมให้บริการฟรีไม่มีจำกัด ไม่เก็บค่าบริการใดๆทั้งสิ้น และไม่ต้องกลัวว่าบ้านของคุณจะขายไม่ได้ เพราะเว็บไซต์ของเรามีสถิติการเข้าถึงกว่า 30,000 คนต่อวัน และกว่า 5 ล้านคนต่อเดือน พร้อมด้วยการบริการของเราเข้าถึงทุกโซเชียลไม่ว่าจะทั้ง Facebook Twitter Youtube และ Google แถมด้วยความเอาใจใส่ของเรา ที่จะใส่ใจบ้านของคุณ เหมือนดั่งบ้านของเราเองอีกด้วย
หากใครที่มีบ้านเก่า บ้านหลังใหม่ หรือซื้อบ้านมาเพื่อเก็งกำไร และกำลังคิดว่า...ต้องการจะขายบ้าน หรือว่าจะขายบ้านให้คนอื่นแล้วละก็ ให้ลองเข้าไปใช้งานกันได้ที่หน้าเว็บไซต์
คลิกลงประกาศขายบ้านที่นี่ ฟรี!! หรือ ลงประกาศขายคอนโด ฟรี!!
ขายบ้านได้แล้วต้องจ่ายอะไรบ้าง?
1. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ราคาขายบ้านที่จะนำมาใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหักภาษี ณ ที่จ่าย นั้น โดยจะใช้ราคาประเมินของกรมที่ดินเป็นเกณฑ์ ซึ่งจะเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอนนั้น โดยจะไม่คำนึงว่าราคาซื้อขายจริงนั้นจะเป็นเงินเท่าใด เช่น การซื้อขายบ้านหลังนี้ราคาจริงอยู่ที่ 4 ล้านบาท แต่ว่าราคาประเมินอยู่ที่ 5 ล้านบาท ก็ต้องคำนวณภาษีจากราคา 5 ล้านบาท หรือถ้าหากราคาประเมินอยู่ที่2 ล้านบาท แต่จะซื้อขายกันในราคา 3 ล้านบาทก็จะคำนวณภาษีจากราคา 2 ล้านบาท

โดยวิธีนับจำนวนปีถือครองนั้น จะยึดหลักตามปี พ.ศ.ที่ถือครอง ยกตัวอย่างเช่น ซื้อบ้านวันที่ 10 ธันวาคม 2556 และขายวันที่ 10 มกราคม 2558 เท่ากับจำนวนปีถือครอง 3 ปี ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 77% และสมมติว่าราคาขายบ้านตั้งไว้ที่11 ล้านบาท แต่กรมที่ดินประเมินราคาให้ 9 ล้าน เจ้าของบ้านต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่ายดังนี้
**เงินได้ตั้งแต่ 500,001 ถึง 1 ล้านบาท จะต้องเสียภาษีในอัตรา 20%

2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
สำหรับภาษีประเภทนี้จะเป็นภาษีที่จะคิดในกรณีที่บ้านที่เราขายนั้น เราถือครองมาไม่ถึง 5 ปีครับ โดยนับตั้งแต่วันที่รับโอนบ้านมา ซึ่งภาษีธุรกิจเฉพาะนี้จะคิดอยู่ที่อัตรา 3.3% ของราคาขายจริงหรือราคาประเมิน แล้วแต่ว่าราคาไหนสูงกว่ากันก็ให้ใช้ราคานั้นในการคำนวณ
ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่กล่าวไปในข้อแรก หากเราขายบ้านในราคา 11 ล้านบาท โดยมีราคาประเมินอยู่ที่ 9 ล้านบาท และเราถือครองบ้านหลังนั้นมา 3 ปี (น้อยกว่า 5 ปี) เราจึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะอีก 3.3% โดยคำนวณจากราคาขายจริง (เพราะราคาสูงกว่าราคาประเมิน) ดังนั้น เราจึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะอีก 363,000 บาทครับ
ทั้งนี้แล้ว นอกจากเงื่อนไขถือครองบ้านไม่ต่ำกว่า 5 ปีแล้ว ก็ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มเติม ดังนี้ครับ
- ท่านมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเกินกว่า 1 ปี ที่ได้รับบ้านหลังนั้นมา
- เมื่อถูกเวนคืนบ้านหรือที่ดิน
- การขายบ้านหรือที่ดินนั้นที่ได้มาโดยมรดก

3. อากรแสตมป์
สำหรับรายรับจากการขายบ้านหรือที่ดินนั้น ท่านจะต้องเสียค่าอากรแสตมป์ในอัตรา 0.5% ของราคาประเมิน ซึ่งในกรณีตัวอย่างข้างต้น ต้องเสียค่าอากรแสตมป์ 45,000 บาท (0.5 x 9,000,000) แต่อย่างไรก็ตาม หากมีการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะอยู่แล้ว จะได้รับการยกเว้นการเสียค่าอากรแสตมป์อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น จะไม่เรียกเก็บทั้ง 2 ประเภทนั่นเองแหละครับ

4. ค่าธรรมเนียมในการโอน
ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมการโอนของกรมที่ดิน จะคิดอยู่ที่ 2% ของราคาประเมิน ซึ่งในกรณีตัวอย่างข้างต้น เราจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการโอน 180,000 บาท (2 x 9,000,000)
และจาก 4 ข้อที่กล่าวมานั้น รวมแล้วหากเราขายบ้านในราคา 11 ล้านบาท และมีราคาประเมินอยู่ที่ 9 ล้านบาท เราจะต้องจ่าย "ภาษีจากการขายบ้าน" ถึง 792,000 บาท หรือคิดเป็น 7.92% ของราคาขาย (ในกรณีไม่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จึงต้องเสียค่าอากรแสตมป์) ซึ่งก็นับว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ
ท้ายนี้ เมื่อท่านต้องการที่จะขายบ้านหรือคอนโดมิเนียม ก็ควรที่จะศึกษารายละเอียดรวมทั้งคำนวณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นออกมาคร่าวๆก่อน เพื่อที่ท่านจะได้ตกลงราคาขายบ้านที่แน่นอนได้ และข้อสำคัญ ถ้าหากท่านติดต่อทำการซื้อขายบ้านผ่านนายหน้า ก็อย่าลืมบวกค่าตอบแทนให้นายหน้าเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะถ้าหากคุณไม่บวกเข้าไปด้วยล่ะก็ ราคาบ้านที่ได้มาก็อาจจะขาดทุนหนักไปกว่าเดิมด้วยครับ