
การกู้เงินเพื่อซื้อบ้านนั้น มีประเด็นที่เราจะต้องทำความเข้าใจ หรือตัดสินใจหลายประการ เราได้รวมมาเป็นข้อๆ ไว้ดังนี้

1. จะกู้จำนวนเท่าใด – ก็ควรกู้ตามกำลังที่ตนเองจะผ่อนชำระไหวครับ อย่ากู้เกินตัว
2. จะกู้ระยะเวลานานเท่าใด – การตัดสินใจตรงนี้จะขึ้นอยู่กับวงเงินกู้ และความสามารถในการผ่อนชำระเงินกู้ของผู้กู้ครับ หากกู้ระยะเวลาสั้น ผู้กู้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยมาก แต่ก็ต้องจ่ายเงินงวดต่อเดือนสูง โดยทั่วไปธนาคารจะให้กู้ตั้งแต่ 5-30 ปี ขึ้นอยู่กับรายได้และอายุของผู้กู้ โดยอายุของผู้กู้ เมื่อรวมกับระยะเวลากู้ ต้องไม่เกิน 65 ปี ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้กู้อายุ 40 ปี จะสามารถกู้ได้ยาวที่สุด 65-40 = 25 ปี เป็นต้น
3. จะต้องผ่อนชำระเงินต่องวดเท่าใด – ยิ่งใช้เวลาผ่อนนานมากขึ้นเงินต่องวดก็จะยิ่งลดลง ธนาคารมักกำหนดเงินงวดต่อเดือนประมาณ 25-30% ของรายได้รวมของผู้กู้ครับ

4. จะกู้เงินกับธนาคารไหนดี – ควรจะกู้จากแหล่งที่จะช่วยให้เราประหยัดเงินมากที่สุด และได้รับความสะดวกสบายที่สุด และควรศึกษารายละเอียดและเงือนไขของแต่ละธนาคารให้รอบคอบ เพื่อจะได้สอดคล้องกับความต้องการของเราให้มากที่สุด ผมมีอัตราดอกเบี้ย MLR ของแต่ละธนาคารมาเปรียบเทียบให้ดู (ตัวเลขอาจมีการเปลี่ยนแปลง และบางธนาคารมีโปรโมชั่นลดดอกเบี้ยให้ด้วย ควรตรวจสอบที่ธนาคารอีกทีนะครับ)

5. การกู้เงินต้องมีหลักฐานอะไร – ส่วนใหญ่ก็จะมีดังนี้ (อาจจะมีเพิ่มเติมจากนี้แล้วแต่ธนาคารที่ออกสินเชื่อนั้นๆ)
เอกสารแสดงข้อมูลส่วนตัว และเอกสารแสดงรายได้
- บัตรประชาชน
- ทะเบียนบ้าน,
- ใบรับรองเงินเดือนหรือSlipเงินเดือน
- ที่สำคัญก็คือ Statement ของธนาคารที่มีเงินเดือนหรือรายได้ที่เข้าบัญชีย้อนหลังประมาณ 6 เดือน ถ้าเป็นผู้มีรายได้อิสระก็จะต้องนำ Statement ธนาคารทุกธนาคารมาแสดงให้มากที่สุด
เอกสารหลักทรัพย์
- โฉนดที่ดิน หรือสำเนาหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดหรือ นส.3ก พร้อมสารบัญจดทะเบียนทุกหน้า(สำเนาทุกหน้า จำนวน 2 ชุด)
- สำเนาหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย/สัญญามัดจำ/ใบเสร็จเงินดาวน์
- สำเนาใบอนุญาตปลูกสร้าง/คำขออนุญาต/แบบแปลน(กรณีปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม)
- หลักฐานการเป็นเจ้าของอาคาร (สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดิน ฉบับสำนักงานที่ดิน หรือใบขอเลขที่บ้าน)


6. ใช้เวลานานเท่าใดจึงจะได้รับการอนุมัติกู้ – แล้วแต่ธนาคารครับ ส่วนจะใช้เวลานานประมาณ 10-20 วันทำการครับ
7. ธนาคารใช้หลักเกณฑ์อย่างไรในการพิจารณาอนุมัติกู้
ส่วนใหญ่ธนาคารก็จะมีหลักที่ใช้ในการขอสินเชื่อซื้อบ้านดังนี้ครับ
- ประวัติการชำระหนี้ของคุณ โดยพิจารณาจากฐานข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลเครดิต (Credit Bureau) ธนาคารจะตรวจสอบดูว่าเราเคยมีการติดค้างการชำระเงินกู้อื่นๆ หรือเปล่า เช่น ค้างค่าผ่อนรถ ค้างค่าบัตรเครดิต เป็นต้น ดังนั้นเราควรบริหารจัดการเครดิตส่วนตัวอย่างระมัดระวังและมีวินัยนะครับ เพื่อจะได้กู้ยืมได้ง่ายขึ้น
- ธนาคารจะดูรายได้ของผู้กู้ เพื่อพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของเรา โดยทั่วไปจะให้กู้ประมาณ 40-50 เท่าของรายได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะอาชีพ และความมั่นคงของรายได้ด้วยเช่น ช้าราชการ ก็มีโอกาสได้วงเงินกู้สูงกว่าผู้กู้ที่ทำงานอิสระครับ
- ธนาคารจะดูความเหมาะสมของหลักประกัน เช่น มีถนนถนนตัดผ่าน รถยนต์สามารถเข้าออกได้ และมีระบบสาธารณูปโภค น้ำ ไฟ เหมาะสม
8. กู้เงินทำไมต้องมีการประเมินค่าและทำจำนองด้วย – เพื่อนำมาเป็นหลักประกันครับ ในกรณีที่ผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ธนาคารก็สามารถบังคับเอาจากหลักประกันได้

9. ในการกู้เงินต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้าง – การกู้เงินซื้อบ้านจะมีค่าใช้จ่าย 2 ส่วน
ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียให้กับกรมที่ดิน (อาจรวมอยู่ในราคาบ้านแล้วก็ได้ ควรถามผู้ขายก่อนนะครับ)
- ค่าธรรมเนียมการจดจำนอง ไม่เกิน 1% ของวงเงินกู้
- ค่าโอน 2% ของราคาบ้าน (หรือราคาประเมินของกรมที่ดินในกรณีบ้านมือสอง) ให้ตกลงกับผู้ขายก่อนนะครับ ว่าใครจะจ่ายตรงนี้
- ค่าอากร 0.05% ของวงเงินกู้ นอกจากนี้ก็จะมีค่าธรรมเนียมเอกสารต่างๆอีกเล็กน้อย
ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียให้กับธนาคาร
- ค่าธรรมเนียมแรกเข้าไม่เกิน 1% ของวงเงินกู้
- ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ตามที่ธนาคารกำหนด
- ค่าประกันอัคคีภัยทรัพย์สินในเครือของธนาคาร
- ค่าประกันวงเงินกู้ อันนี้เผื่อมีอะไรที่ทำให้คุณไม่สามารถทำงานหาเงินผ่อนต่อได้
ดังนั้นหากต้องการจะกู้ให้ผ่าน ก็ควรกู้ตามกำลังที่ตนเองจะผ่อนชำระไหว อย่ากู้เกินตัว หรือซื้อบ้านหลังใหญ่กว่ารายได้ที่ตนมี สำรวจว่าตนเองมีภาระหนี้เดิมอะไรบ้าง ควรชำระหนี้เหล่านั้นให้หมดก่อน จะทำให้เราไม่ต้องรับภาระผ่อนมากครับ จากนั้นก็เตรียมเอกสารให้พร้อม เตรียมตัวให้พร้อมแล้วไปยื่นกู้เลยครับ ผมขอเอาใจช่วยให้ผ่านทุกท่านนะครับ